วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ผู้แพ้ที่ไม่ยอมพ่ายชื่อ ประชาธิปัตย

o หลังการเลือกตั้ง และคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการแล้ว พรรคพลังประชาชน เป็นฝ่ายได้ชัยชนะในการเลือกครั้งนี้ ได้รับเลือกเป็นส.ส.มากถึง 232 คน และ พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกเป็นส.ส.จำนวน 165 คน

o โดยมารยาททางการเมืองที่ ถือปฏิบัติกันเป็นสากลทุกประเทศทั่วโลก ก็คือ เมื่อทราบผลการลงคะแนนของประชาชนแล้ว พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่า ก็จะประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และแสดงความยินดีกับพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนมากกว่า พร้อมทั้งสนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศชาติ ต่อไป

o กรณีการแข่งขันระหว่าง อัลกอร์ พรรคเดโมแครต กับ จอร์ ดับเบิลยู บุช พรรครีพับลิกัน เมื่อ ปี 2001 ถึงแม้จะมีผลต่างของคะแนนเพียงเล็กน้อย และมีข้อสงสัยว่าการนับคะแนนมีความผิดพลาดหรือไม่ แต่เมื่อมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ อัลกอร์ ก็ประกาศยอมรับการตัดสินใจของประชาชน ยอมรับความพ่ายแพ้ และแสดงความยินดีกับจอร์จ ดับเบิลยู บุช พร้อมทั้งกล่าวว่าการแข่งขันได้สิ้นสุดลงแล้ว พร้อมจะสนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เข้าบริหารประเทศ ได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

o เมื่อเปรียบเทียบมาถึงประเทศไทย ผู้แพ้อย่างพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากจะไม่แสดงอาการยอมรับความพ่ายแพ้กับผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของประ ชาชนเสียงส่วนใหญ่แล้ว ยังแสดงอาการประหนึ่งว่าเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะด้วยซ้ำไป เมื่อได้ทราบว่าพรรคพลังประชาชน ได้คะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ทั้งหมด คือ 240 เสียง ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้จำนวนส.ส.น้อยกว่าพรรคพลังประชาชน 60 กว่าคน

o คำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ยอมแพ้ แม้ว่าจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน น้อยกว่าพรรคพลังประชาชน มากกว่า 60 เสียง แต่ก็ยังแสดงออกอย่างเปิดเผยว่า จะพยายามจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีความพยามที่จะดำเนินการมาตั้งแต่ก่อนจะรู้ผลการเลือกตั้งด้วยซ้ำไป โดยการล็อกพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ให้ไปร่วมจัดรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน สะท้อนถึงการไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตย ไม่ยอมรับมติของประชาชน ไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน

o นอกจากจะไม่แถลงยอมรับความพ่ายแพ้ อันเกิดจากการตัดสินของประชาชนแล้ว นายอภิสิทธิ์ ยังแสดงท่าทีเย้ยหยันพรรคพลังประชาชน ว่า “เป็นเรื่องที่น่าอายหากว่าพรรคพลังประชาชนซึ่งได้จำนวนส.ส.มากที่สุด ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้” แต่กลับปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนน้อยกว่า จะจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคพลังประชาชน เป็นเรื่องที่น่าอายหรือไม่

o ในขณะที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พยายามที่จะนำเสนอตรรกะแบบเข้าข้างตัวเอง ว่า “การที่พรรคพลังประชาชนได้ส.ส.ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แสดงว่าประชาชนไม่ต้องการให้พรรคพลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาล” แต่กลับหลีกเลี่ยงที่จะตอบว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับความไว้วางใจน้อยกว่าพรรคพลังประชาชน เป็นการแสดงให้เห็นว่าประชาชนต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาล อย่างนั้นหรือ จึงมีความคิดและความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคพลังประชาชน ที่ได้ส.ส.มากกว่าถึง 60 กว่าคน

o เป็นที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งจนแทบไม่น่าเชื่อว่าอายุ 61 ปี ของการดำเนินการทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นระยะเวลาอันยาวนานมากพอที่จะทำให้สมา ชิกพรรคประชาธิปัตย์ เรียนรู้และเคารพกติกาประชาธิปไตย มีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และรู้จักมารยาทของการอยู่ร่วมกันในสังคมการเมือง ที่จะต้องยอมรับการตัดสินของประชาชน ซึ่งเป็นการตัดสินที่สำคัญที่สุดที่นักการเมืองทุกคน พรรคการเมืองทุกพรรค ทั่วโลกต้องยอมรับ

o ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ หลังทราบผลการลงคะแนนเสียงของประชาชนอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ได้บ่งบอกเลยว่า พรรคประชาธิปัตย์ “แพ้เป็น” ตรงกันข้ามกลับเป็นท่าทีอาการของคนไม่ยอมแพ้ มากกว่า นอกจากไม่ยอมแพ้ แล้ว ยังมีพฤติกรรมไม่แตกต่างจากผู้ไม่ยอม รับกฎกติกาประชาธิปไตย อีกด้วย

o ภาพลักษณ์ของการเมืองไทยจะสวยงามอย่างยิ่ง ความตึงเครียด และวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นมายาวนานกว่า 2 ปีของประเทศไทย และการเมืองไทย จะคลี่คลายมลายหายไปและยุติลงทันที หากว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และสนับสนุนให้พรรคพลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาล เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ให้กับพรรคความหวังใหม่ และไม่จัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทั้งๆ ที่แพ้ให้แก่พรรคความหวังใหม่ เพียง 2 เสียงเท่านั้น

o แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์แพ้ต่อพรรคพลังประชาชนมากกว่า 60 เสียง แต่นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ กลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และประกาศจัดตั้งรัฐบาลแข่งทันที โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ที่ได้ไปลงคะแนนเลือกตั้งและมอบความไว้วางใจให้แก่พรรคพลังประชาชนมากกว่าพรรคประ ชาธิปัตย์ ส่งผลให้สถานการณ์การเมืองไทย ยังคงอยู่ในภาวะตึงเครียด และอยู่ในวิกฤติต่อไป อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีปัจจัยแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย

o หากพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงดึงดัน ไม่ยินยอมน้อมรับความพ่ายแพ้ และไม่ฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน เช่นที่กำลังกระทำอยู่ในขณะนี้ ก็จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่เกิดขึ้นแก่การเมืองไทย ที่เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน และความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้แก่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเป็นผู้บริหารประเทศ เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย และต้องยอมให้แก่ระบบพวกมากลากไป ที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังสร้างขึ้นในขณะนี้

o เสียงของประชาชน จะมีความหมายได้อย่างไร หากว่าพรรคการเมืองไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน และยังคงแสดงพฤติกรรมต่อต้าน ท้าทายเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเช่นที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังกระทำอยู่ในขณะนี้

o พฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ แสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองพรรคนี้ เป็นพรรคการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มากกว่ากฎเกณฑ์กติกา และมารยาททางสังคม ตลอดจนผลประโยชน์ของประเทศชาติ และการดำรงอยู่ของระบบและความถูกต้องที่สืบทอดกันมากว่า 75 ปีของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในประเทศไทย

o ถึงแม้จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่แสดงความยินดีกับผู้ชนะที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุด ไม่ยอมรับมติของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ไม่หยุดที่จะจัดรัฐบาลแข่ง ไม่เลิกราที่จะเอาชนะคะคานกัน โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ความดีงาม และประโยชน์ของส่วนรวม และมารยาททางการเมือง

o แต่อย่างน้อยพรรคประชาธิปัตย์ ก็ควรจะมีสำนึกละอายแก่ใจบ้าง ว่า เมื่อประชาชนไม่ไว้วางใจให้เป็นรัฐบาล แล้ว แม้นว่าจัดตั้งรัฐบาลได้จริง ก็ไม่อาจจะบริหารประเทศได้ และจะนำการเมืองไทยเข้าสู่วิกฤติอีกครั้ง เพราะพรรคการเมืองที่ไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน พรรคการเมืองที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ไม่ต้องการให้มาบริหารประเทศ จะไม่มีวันเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ได้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ก็เคยประสบกับสถานการณ์นี้มาแล้ว ในกรณี สปก. 4-01 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ต้องหนีการลงมติไว้วางใจ ด้วยการยุบสภา เพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน นั่นเอง

o พรรคประชาธิปัตย์ อาจจะเป็นพรรคการเมืองที่เก่งและมีความสามารถมากมายหลายเรื่อง ทั้ง ด้านดีและร้าย ทั้งทางเทพและทางมาร แต่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่มี และควรจะเริ่มต้นฝึกหัดให้มี ก็คือ มารยาททางการเมือง และ การแพ้เป็น

******************************************

o เพราะ ผู้ที่แพ้ไม่เป็น จะไม่มีวันที่จะพบกับคำว่าชัยชนะ ตลอดไป
o เพราะ หลังจากแพ้เลือกตั้ง แล้ว ก็จะต้องแพ้ในการแข่งขันจัดตั้งรัฐบาล อีก
o เพราะ จะเป็นการพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แพ้อย่างที่ยังมองไม่เห็นโอกาสแห่งชัยชนะ
o เพราะ นี่คือการพ่ายแพ้ครั้งที่ 5 ติดต่อกันของพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้ง นับแต่ ปี 2538 เป็นต้นมา
o เพราะ นี่คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศไทย ไม่เคยให้ความไว้วางใจเป็นผู้บริหารประเทศ อย่างน้อยก็เป็นเวลายาวนานต่อเนื่องกัน 12 ปี
o เพราะ นี่คือผลของการ “แพ้ไม่เป็น” และ “ไม่ยอมแพ้” จึงทำให้ไม่เคยพบกับคำว่าชัยชนะ
o เพราะ นี่คือผลของการไม่รู้จักแพ้ ไม่รู้จักชนะ และไม่รู้จักอภัย ของพรรคการเมืองที่ชื่อว่า ประชาธิปัตย

บทความโดย : ประชาชนคนเดือนตุลา

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6170620/P6170620.html#19

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Free Hug คุณจะรู้สึกดี เมื่อคุณได้กอดใครสักคน



ความชิดใกล้

ความชิดใกล้มากกว่าแค่ร่างกายที่มาใกล้ชิดกัน บางคู่เจอหน้ากันทุกวันแต่ไม่สามารถรู้สึกได้ว่า ใกล้ชิดกัน บางทีเหมือนคนแปลกหน้าด้วยซ้ำไปความชิดใกล้ที่เห็นง่ายที่สุดเป็นด้านร่างกาย เวลาที่อยู่ด้วยกันพื้นที่ส่วนตัวจะลดลง เรียกว่า นั่งอิงแอบกันได้ ไม่เหมือนนั่งกับเพื่อนคนอื่น แต่ถ้าจะให้ดีต้องรู้สึกว่า ใจแนบชิดด้วยตอนที่กายใกล้กัน และถ้าดีที่สุดคงเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกถึงวิญญาณที่มีแต่ความปรารถนาที่ดีต่อกัน

เมื่อความชิดใกล้ด้านร่างกายง่ายที่สุด การเริ่มฟื้นความสัมพันธ์อาจเริ่มจากการกอดกัน ถ้ากอดกันได้แน่น ไม่อึดอัด แสดงว่า ดีกรีความชิดใกล้ยังใช้ได้ นอกจากนี้ การสัมผัสทางกายยังเป้นวิธีแสดงความอบอุ่น เป็นกำลังใจได้อีกด้วย ขยับจากการกอด สัมผัสที่ตามมาด้วยความรู้สึกใกล้ชิดอาจเริ่มใกล้ยิ่งขึ้น นานเท่าไหร่ที่ไม่เคยจูบด้วยความรัก แค่จูบจริงๆ ลองสัมผัสด้วยรักโดยไม่จำเป็นต้องมีเซ็กซ์ แม้เซ็กซ์จะเป็นสัมผัสที่ใกล้ชิดที่สุดผู้หญิงมักมีความสุขกับสัมผัสทางกายที่บอกความรักความอบอุ่นและความชิดใกล้

นอกจากความชิดใกล้ด้านร่างกายต้องสร้างความชิดใกล้ด้านอารมณ์ไปด้วย ซึ่งสร้างจากการแสดงว่าความรักต่อกัน อาจจะลองเล่นเกมทายใจต่างฝ่ายต่างเขียนว่า ตนเองแสดงความรักกับอีกฝ่ายอย่างไร แล้วดูว่า อีกฝ่ายรู้หรือไม่ว่าเราแสดงความรักอย่างไร ถ้าไม่ใช่ ต้องคุยกันว่า เราจะแสดงความรักต่อกันอย่างไร และจะรับรู้การแสดงออกของอีกฝ่ายอย่างไร



ความชื่นชม


ความชื่นชมมีองค์ประกอบสองประการ ประการแรก รู้ สึกถึงคุณค่าของอีกฝ่าย อาจจะเป็นความสามารถ ความเก่ง ความเชี่ยวชาญ หรือความประพฤติ ประการที่สอง แ สดงออกถึงความรู้สึกชื่นชมกับคู่ของตนเอง

สำหรับคู่ที่เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง มองเห็นแต่ข้อบกพร่อง ความไม่ดี ต่อว่ากันจนหาจุดยุติไม่ได้ การใช้ความชื่นชม จะดึงออกจากร่องของแผ่นเสียง ด้วยการหยุดมองหาด้านบวกของกันและกัน

ารชื่นชมกันและกัน มองหาด้านบวก เป็นพลังที่ทำให้สัมพันธภาพมีความหมายและยังทำให้คู่รู้สึกมีคุณค่าในตนเอง การชื่นชมเริ่มได้ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน ผ่อนคลายจิตใจตนเอง ฝึกการหายใจที่ช่วยให้ร่างกายและจิตใจสงบ หัดยิ้มให้บ่อยขึ้น แทนการมีใบหน้าบึ้งตึง หงุดหงิด

ลองสังเกตอารมณ์ที่ผ่อนคลายลงจากการฝึกการหายใจและการยิ้มและลองให้รอยยิ้มทุกวันตอนเช้าและเย็นที่ได้เจอกัน อย่าให้การอยู่ด้วยกันกลายเป็นความเคยชิน ที่เพียงแต่มองผ่านอีกคนหนึ่ง

มาคิดทบทวนว่า อะไรคือความพิเศษของเขา อะไรที่ทำให้เขาเป็นที่สนใจสำหรับเรา เขาทำหลายอย่างให้กับความสัมพันธ์ของเราสองคน ลองลงมือเขียนถึงข้อดีของเขา ดูว่าสามารถคิดถึงข้อดีเขาได้ขนาดไหน หรือใจยังคิดถึงแต่ด้านลบจนไม่สามารถปล่อยใจให้สร้างพลังทางบวก

ต้องเริ่มปรับสภาพจิตใจ เปิดใจให้ยอมรับมากขึ้น ลดความคิดแบบเปรียบเทียบ การครองคู่ของแต่คู่เป็นเรื่องเฉพาะ เรียกว่าคู่ใครคู่เขา หันมาเติมความรู้สึกดีๆ กับคู่ของเราดีกว่า

คติสอนใจจากโน้ต อุดม

ความรู้มาก ๆ บางทีเหมือนกำแพงอิฐที่เรียงตัวสูง ความรู้สูง กำแพงสูง ความรู้รอบด้าน ก็เหมือนกำแพงสูงรอบตัว บางครั้งมันอาจทำให้มองออกไปไม่เห็นอะไร นอกจากอิฐที่ตนเองก่อขึ้นมา

กลิ่นของความรัก ก็เช่นเดียวกับห้องน้ำ เข้าไปแรก ๆ จะรู้สึกว่าได้กลิ่น อยู่ในนั้นนาน ๆ ไปจะเคยชิน จนลืมว่ามีกลิ่นนั้นอยู่ จนกว่าจะออกมาจากบริเวณนั้นและกลับเข้าไปใหม่

ถ้าเรารักใครสักคน เราควรเปิดโอกาสให้เขาได้ทำผิดหลาย ๆ ครั้ง เพราะเราเองก็ต้องการโอกาสอย่างนั้นเช่นกัน อย่าบอกเลยว่าเป็นคนดี ความหยิ่งยโส ก็มีอยู่ในคนถ่อมตัว ครูที่สอนนักเรียน ก็มีความโง่ ซ่อนอยู่ ความขลาดกลัว ก็มีอยู่ในนักมวยแชมป์โลก ความเบื่อหน่าย ก็มีอยู่ในพนักงานต้อนรับที่กระตือรือร้น ความเห็นแก่ตัว ก็มีอยู่ภายในใจของนักสังคมสงเคราะห์ มันอยู่คู่กัน รอวันปรากฏตัวออกมา
ถ้าสันดานห่วย ๆ มันเป็นกระดาษ เรามีแค่หินทับกระดาษคนละก้อน ลมกิเลสพัดมา ก็ขึ้นกับว่าก้อนหินของใครก้อนใหญ่พอที่ทับมันไว้ ไม่ให้ปลิวเพ่นพ่านเท่านั้นเอง . . .

************************************